กลอนเสภา เป็นกลอนขับร้องเข่นเดียวกับ กลอนดอกสร้อยและกลอนสักวา
แต่มิได้ขับร้องประกอบดนตรีหรือประกอบ ทำนองเพลงไทย กลอนเสภาน่าจะพัฒนามาจากการอ่านกลอน
โดยใช้อ่านเป็นทำนองพิเศษขึ้นกว่าทำนอง เสนาะของกลอนปกติ แล้วใช้กรับเป็นเครื่อง ประกอบจังหวะให้การอ่านนั้นไพเราะน่าฟัง ยิ่งขึ้นเรียกว่า"ขับเสภา"
และโดยที่เป็นกลอน ขับร้องเพื่อฟังเรื่องราว จำนวนคำในวรรค ของกลอนเสภาจึงค่อนข้างมากมักมี ตั้งแต่
๗-๙ คำ ลักษณะพิเศษอีกประการหนึ่ง ก็คือ ในแต่ละตอนมักนิยมขึ้นต้นด้วยคำว่า "ครานั้น"
"
จะกล่าวถึง" ีที่มา:
สุภาพร มากแจ้ง.กวีนิพนธ์ไทย.โอเดียนสโตร์,๒๕๓๕
|
วรรณกรรมที่แต่งด้วยกลอนเสภา ที่มีชื่อเสียงนิยมว่าแต่งดีเด่นได้แก่เรื่อง
"ขุนช้างขุนแผน" ซึ่งเป็นนิทานพื้นบ้าน แถบจังหวัดสุพรรณบุรี และกาญจนบุรี
แพร่หลายมาตั้งแต่สมัยอยุธยาและถูกนำ มาแต่งเป็นกลอนเสภาเพื่อขับฟังเรื่องราว ต่อๆกันมาบทเสภาที่ใช้ขับกันสมัยอยุธยา นั้นเหลือมาถึงกรุงรัตนโกสินทร์บ้างและมี การแต่งเพิ่มเติมขึ้นในสมัยรัชกาลที่
๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์โดยกวีหลายท่าน แบ่งกันแต่งกรมพระยาดำรงราชานุภาพ สันนิษฐานว่า
ตอนพลายแก้วเป็นชู่กับนางพิม และตอนขึ้นเรือนขุนช้าง เป็นพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่
๒ ตอนขุนช้างขอนางพิม และตอนขุนช้าง ตามนางวันทอง เป็นพระราชนิพนธ์์ในรัชกาลที่
๓ เมื่อครั้งยังดำรงตำแหน่งเป็น กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ และสุนทรภู่แต่งในตอน
กำเนิดพลายงาม
ที่มา:
สุภาพร มากแจ้ง.กวีนิพนธ์ไทย.โอเดียนสโตร์,๒๕๓๕
|
๑. กลอนเสภาใช้คำวรรคละ ๗
-๑๐ คำ เพราะเสภา เป็นกลอนเล่าเรื่องอย่าง เล่านิทน ๒.
สัมผัสเหมือนกลอน บทละคร
คือคำสุดท้าย ของวรรคต้นส่งสัมผัส
ไปยังคำใดคำหนึ่ง ใน ๕ คำแรกของ
วรรคหลัง และไม่มี บังคับห้ามเสียงสูงต่ำ
กฎนอกนั้นเหมือนกลอนสุภาพ ๓.
ความจริงเสภาเป็นเรื่อว ของทำนองขับ
จะใช้ กลอน ๖
,๗,๘,๙หรือ กลอนผสมก็ได้
กลอน เสภาโดยตรงจึงไม่มี (วิเชียร
เกษประทุม ลักษณะคำประพันธ์ไทย )
|